5/11/62

ท้องผูก ต้นเหตุ "โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ" จริงหรือเท็จ

ท้องผูก ต้นเหตุ "โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ" จริงหรือเท็จ
ท้องผูก เป็นปัญหาสุขภาพที่รบกวนความสงบสุขในชีวิตประจำวันของใครหลายๆคน อาการท้องผูกไม่ได้หมายความแค่ว่า มีการขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์เพียงอย่างเดียว และอาการท้องผูกไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งหรือความถี่ในการขับถ่าย 
แต่ถ้าหากคุณไม่เคยรู้สึกอึดอัดแน่นท้อง อุจจาระไม่เป็นก้อนแข็ง และสามารถขับถ่ายได้ตามปกติ นั่นไม่ใช่อาการท้องผูก แต่ถ้าหากอาการทั้งหมดเกิดตรงกันข้ามทั้งหมด นั่นหมายถึง "คุณกำลังมีอาการท้องผูก"

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องผูก


  • ยาที่รับประทานเป็นประจำ เนื่องจากอาการข้างเคียงของยา เช่น ยาแก้ปวดกลุ่มที่มีมอร์ฟีน ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร ยาแก้แพ้บางชนิด ยาลดความดันโลหิต เป็นต้น
  • ความเครียด เกิดจากความรู้สึกไม่สะดวกใจในการขับถ่ายต่างสถานที่ เช่น เมื่อเดินทาง หรือการอยู่ในบางสถานที่ บางคนจะกลั้นอุจจาระไว้ และจะปลดปล่อยทีเดียวเมื่อถึงบ้าน พอทำบ่อยๆเข้าก็เกิดเป็นอาการท้องผูก
  • โรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ แคลเซียมในเลือดสูง โรคทางสมองและไขสันหลัง เป็นต้น
  • การทำงานของลำไส้แปรปรวน เนื่องจากการทำงานของลำไส้ผิดปกติ เช่น ลำไส้ตีบตัน หรือความผิดปกติที่ทวารหนัก เป็นต้น
  • อาหาร การรับประทานอาหารและดื่มน้ำ ก็มีส่วนทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ เพราะทานน้อยเกิดไป ทำให้ลำไส้ไม่ได้รับความชุ่มชื้นในลำไส้ 
  • การตั้งครรภ์ เนื่องจากในขณะที่ตั้งครรภ์ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะสูงขึ้น ทำให้การเคลื่อนตัวในลำไส้นานขึ้น จึงทำให้เกิดอาการท้องผูกได้เช่นเดียวกัน

วิธีป้องกันอาการท้องผูก

การรับประทานอาหารที่กากใย ( Fiber ) มากๆ เพื่อเพิ่มปริมาณอุจจาระและกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ให้มากขึ้น ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกวัย ประหยัดและดีต่อสุขภาพอีกด้วย สร้างสุขนิสัยการขับถ่ายให้เป็นเวลา เมื่อรู้สึกปวดไม่ควรอั้นไว้ และไม่ควรขับถ่ายอย่างเร่งรีบ เพียงเท่านี้ก็สามารถหลีกหนีจากอาการท้องผูกได้แล้ว

อาหารที่ช่วยให้ขับถ่ายได้ดีขึ้น

  1. ราสเบอร์รี่ (Rasberry) เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ทีมีกากใย (Fiber) สูง มากกว่าสตรอว์เบอร์รี่ถึงสองเท่า ประโยชน์ของไฟเบอร์ ช่วยในการเพิ่มปริมาณของอุจจาระเพื่อให้ง่ายต่อการเคลื่อนย้ายไปยังระบบย่อยอาหาร และยังเป็นอาหารที่สำคัญของแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ด้วยเช่นกัน
  2. ส้ม นอกจากจะอุดมไปด้วยวิตามินซีแล้ว ยังประกอบไปด้วยไฟเบอร์ที่สามารถเพิ่มปริมาณของอุจจระได้ อีกทั้งยังมีสารนารินจีนิน (Naringenin) ซึ่งเป็นหนึ่งในสารฟลาโวนอยด์ ( Flavonoid) ที่ทำหน้าที่คล้ายยาระบายอีกด้วย
  3. น้ำเปล่า การที่ร่างกายขาดน้ำจะส่งผลให้อุจจาระแข็งและเคลื่อนตัวไปยังระบบย่อยอาหารได้ยาก และนำไปสู่อาการท้องผูก ดังนั้นในแต่ละวัน ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 6-8 แก้ว ซึ่งเป็นปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย 
  4. คีเฟอร์ ( Kefir ) เป็นผลิตภัณฑ์นมที่ผ่านกรรมวิธีการหมักซึ่งอุดมไปด้วยจุลินทรีย์โปรไปโอติก (Probiotics) เป็นแบคทีเรียชนิดดี มีความสำคัญต่อลำไส้ใหญ่ ในคีเฟอร์มีปริมาณของแบคทีเรียมากกว่าในโยเกิร์ตถึงสิบเท่า ทำให้อุจจาระอ่อนตัวลง ส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย
  5. อัลมอนด์ อุดมไปด้วยไขมันที่ดีต่อหัวใจ โปรตีน และไฟเบอร์แล้ว ยังเป็นแหล่งของโปแตสเซียมอีกด้วย เพราะโปแตสเซียมช่วยรักษาสมดุลของกรดในกระเพาะอาหารและทำให้อุจจาระเคลื่อนผ่านลำไส้ได้ดีขึ้นด้วย
  6. ถั่วดำ อุดมไปด้วยไฟเบอร์ โปแตสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยให้อุจจาระเคลื่อนผ่านทางเดินอาหารได้ง่ายขึ้น
  7. ลูกพรุน นอกจากจะมีปริมาณไฟเบอร์สูงแล้ว ยังมีสารได้โฮดรอกซีฟีนีลอิซาติ (Dihydroxyphenylisatin) ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ สารซอร์บิทอล ( Sorbitol ) มีฤทธิ์เป็นยาระบาย และโปแตสเซียมที่มีมากกว่ากล้วยถึงสองเท่า จึงช่วยให้อุจจาระเคลื่อนผ่านทางเดินอาหารได้ง่ายขี้นอีกด้วย
  8. ผักใบเขียว เช่น ผักโขม เป็นต้น ต่างอุดมไปด้วยสารอาหารทีดีต่อระบบขับถ่าย มีไฟเบอร์ที่ช่วยให้อุจจาระเคลื่อนตัวในลำไส้ได้สะดวกขึ้น แมกนีเซียมและโปแตสเซียมช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อระบบย่อยอาหารดีขึ้น
  9. รำข้าวสาลี เปลือกของรำข้าวสาลี อุดมไปด้วยไฟเบอร์ถึง 25 กรัมต่อถ้วย จึงสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูกและช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย
  10. ชา กาแฟ เป็นที่ทราบกันดีว่าในชา กาแฟมีสารคาเฟอืนอยู่ แต่สำหรับบางคนกลับช่วยให้ขับถ่ายได้ดีขึ้น สันนิษฐานกันว่า สารที่ทำให้กาแฟมีรสขมอย่างกรดโครโรจีนิก (Chrologenic acid) เป็นสารสำคัญที่ทำให้เกิดความรู้สึกอยากขับถ่าย นั่นเอง
หากแก้ปัญหาด้วยวิธีการปรับพฤติกรรมในการใช้ชีวิตแล้วแต่อาการยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาย อย่าปล่อยทิ้งไว้ จนเกิดเป็นสาเหตุของโรคอื่นๆ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื้องอกในลำไส้ เป็นต้น